สภาพเศรษฐกิจและการเป็นอยู่ของประชนโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ถ้าเรามองย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ.1800 สภาพสังคมสังคมจะอยู่ในช่วงสังคมเกษตรกรรมที่ผู้คนมักจะอยู่ในที่ดินของตัวเอง เพื่อที่จะเพาะปลูกและผลิตสินค้าตอบสนองความต้องการผู้บริโภค
แต่หลังจากปี ค.ศ.1800 เมื่อภาคธุรกิจต่าง ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็น ภาคเกษตรกรรม การผลิต การทำเหมืองแร่ การคมนาคมขนส่ง และเทคโนโลยี ส่งผลให้ในช่วงประวัตติศาสตร์ของมนุษยชาติเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ การปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution)
ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมส่งผลให้ที่อยู่อาศัยของประชากรในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ประชากรโลกเริ่มมีการย้ายถิ่นฐานที่อยู่และการทำมาหากิน จากนอกเมืองหรือในเขตทำการเกษตรเข้ามาอยู่ในเมืองเพิ่มมากขึ้น เพราะในเมืองมีความต้องการแรงงานและมีการเติบโตทางด้านเศรฐกิจสูงสืบเนื่องมามีการปฏิวัติอุตสาหกรรมมากกว่าเขตที่อยู่อาศัยอื่น ๆ
ถ้าเรามองตัวเลขทางสถิติในช่วงประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา จะเห็นแนวโน้มการย้ายจากสังคมชนบทเข้าสู่สังคมเมืองสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตัวเลขในปี 1985 มีประชากรที่อาศัยอยู่ในสังคมเมืองประมาณ 41.20% และเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนมาถถึงปี 2020 ที่ประชารกรในเมืองมีอยู่ถึง 56.20% และประมาณการว่าในอนาคตยังคงเติบโตสูงขึ้น คาดการจำนวนประชากรในสังคมเมืองในปี 2050 จะอยู่ที่ 62.50 %
สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาจากการที่ประชากรส่วนใหญ่เริ่มเข้ามาอยู่อาศัยในเมืองก็คือ การใช้ทรัพยากร รวมถึงเทคโนโลยีสนับสนุนการเป็นอยู่ของประชาชนเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในภาครัฐบาล หรือภาคเอกชน เริ่มมีนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ในการใช้ส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของประชนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดเทรนด์การพัฒนาเมืองที่ทันสมัยเพื่อตอบโจทย์และไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัย รวมถึงยังเป็นการบ่งบอกถึง การให้ความสำคัญของการพัฒนาเมืองประเทศต่างๆ หรือที่เราเรียกว่า Smart City
Smart City หรือ เมืองอัจฉริยะ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Promotion Agency) หรือ DEPA ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า คือ เมืองที่ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัยและชาญฉลาด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและการบริหารจัดการเมือง ลดค่าใช้จ่ายและการใช้ทรัพยากรของเมืองรวมทั้งประชากรเป้าหมาย มุ่งเน้นการออกแบบที่ดี ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจและภาคประชาชนเพื่อร่วมกันพัฒนาเมือง ภายใต้แนวคิดการพัฒนา เมืองน่าอยู่ เมืองทันสมัย ให้ประชาชนในเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข อย่างยั่งยืน
การที่จะพัฒนาเมืองให้น่าอยู่มีความเป็นอัจฉริยะมีมิติการพัฒนาได้หลายด้าน โดยการที่จะปรับเปลี่ยนเมือง ๆ หนึ่งให้เป็นเมืองอัจฉริยะอย่างสมบูรณ์แบบ จำเป็นต้องมีองค์ประกอบ 7 อย่าง ดังต่อไปนี้
- สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment)
- การเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility)
- การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living)
- พลเมืองอัจฉริยะ (Smart People)
- พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy)
- เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy)
- การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance)
จากข้อมูลรายการรายได้ที่เกิดขึ้นจากตลาดของเมืองอัจฉริยะทั่วโลก มีการคาดการณ์ว่า จะมีรายได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2020 ตลาดมีมูลค่าโดยรวมที่ 116.36 พันล้านเหรียญสหรัฐ และจะเติบโตถึง 241.02 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2025 นั่นก็คือ อีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเมื่อนับ ณ ปีปัจจุบันเหลือเพียง 3 ปีเท่านั้น ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าจะเป็นไปอย่างที่คาดการณ์หรือไม่ เพราะช่วง 2- 3 ปีที่ผ่านทั่วโลกผจญกับสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซบเซาลงอย่างมาก และปัจจุบันเริ่มเห็นโอกาสของการฟื้นตัวในหลายอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายมุมมองของการสร้างเมืองอัฉริยะ ซึ่งขอหยิบยกมุมมองที่น่าสนใจของเมืองที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองอัจฉริยะ และสามารถนำมาเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจเข้าสู่อุตสากรรมสร้างเมืองอัจฉริยะในประเทศไทย
เริ่มจากเมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเมืองที่ในแต่ละปีมีมูลค่าการลงทุนกับธุรกิจสตาร์ทอัพมากถึง 70 พันล้านเหรีญสหรัฐ และยังให้ความสำคัญกับ “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ในมิติต่าง ๆ เช่น การออกกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการปล่อยมลพิษในอาคาร มีนโยบายกระตุ้นการพัฒนาเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ ทำให้มีบริษัทเป็นจำนวนมากสนใจที่จะพัฒนานวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมออกมา ล่าสุดเมืองนิวยอร์กเปิดตัวโครงการนำร่องที่มีการติดตั้งเซ็นเซอร์อัจฉริยะและเครือข่ายไร้สาย LPWN ไว้ทั่วย่านธุรกิจต่าง ๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลในการนำมาใช้จัดการระบบเก็บขยะ หรือการติดตั้งตู้ชาร์จออนไลน์ไว้ทั่วเมือง (แทนที่ตู้โทรศัพท์แบบเดิม) เพื่อช่วยให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตราบรื่นไม่ขาดตอน ด้านกรมตำรวจก็มีการทดสอบใช้ซอฟท์แวร์ ที่ดึงข้อมูลประวัติอาชญากรรม ร่วมกับการสร้างแบบจำลองภูมิประเทศ และข้อมูลอื่น ๆ มาประมวลผลเพื่อคาดการณ์และตอบสนองต่อคดีอาชญากรรมต่าง ๆ อีกด้วย
ส่วนในภูมิภาคยุโรป อย่างลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นเมืองที่มีสตาร์ทอัพและโปรแกรมเมอร์มากที่สุดในโลก เพราะที่นี่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีรอบด้าน เช่น โครงการ Civic Innovation Challenge สนับสนุนธุรกิจสตาร์ตอัพให้คิดค้นนวัตกรรมที่มาช่วยพัฒนาและแก้ปัญหาด้านต่าง ๆ ของเมือง ทั้งนี้ หนึ่งในเคล็ดลับสำคัญที่ลอนดอนนำมาใช้คือ นโยบายการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อกระตุ้นให้หน่วยงานเอกชน องค์กรการศึกษา หรือคนทั่วไปที่มีความรู้ความสามารถเกิดความสนใจและเข้ามาร่วมงานกับภาครัฐได้อย่างสะดวกที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ Connected London เชื่อมต่อสัญญาณ 5G ทั่วทั้งเมือง ทุกคนสามารถเข้าถึง Wi-Fi ในอาคารสาธารณะ หรือแม้กระทั่งตามท้องถนนและเสาไฟของลอนดอนยังได้รับการติดตั้งชุดเซ็นเซอร์ รวมทั้งมีจุดชาร์จสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และมีเครือข่ายระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศที่ใหญ่ที่สุดของโลก เป็นเมืองที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียว โดยมีสวนสาธารณะในเมืองมากกว่า 3 พันแห่ง
สำหรับในภูมิภาคเอเชีย เมืองที่ได้รับการยกย่องให้เป็นแบบอย่าง คือ สิงคโปร์ แม้ว่าจะเป็นเมืองขนาดเล็ก แต่ก็มีการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี จนไม่น่าแปลกใจที่มักจะติดอันดับเมืองอัจฉริยะโลก โดยมีการริเริ่มโครงการเมืองอัจฉริยะ Smart Nation มาตั้งแต่ปี 2014 โดยนำเทคโนโลยีมาใช้ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตัวอย่างเช่น มีการนำเทคโนโลยีการใช้จ่ายแบบไร้เงินสดมาใช้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะกับระบบขนส่งสาธารณะ
นอกจากนี้ ยังมีระบบสุขภาพแบบดิจิทัลเข้ามารับมือกับสังคมผู้สูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นการพบแพทย์ผ่านวิดีโอคอลร่วมกับการใส่อุปกรณ์ IoT เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อให้แพทย์สามารถมองเห็นและตรวจวินิจฉัยคนไข้ได้ โดยเมื่อปี 2021 สิงคโปร์ได้ประกาศแผนสร้างเมืองใหม่ในแถบตะวันตกของสิงคโปร์ โดยมุ่งเน้นความเป็นเมือง Eco-Smart คือ มีความเป็นเมืองอัจฉริยะในขณะเดียวกันก็เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย โดยจะเป็นเมืองที่ไร้ยานยนต์ สร้างถนนและพื้นที่ปลอดภัยให้คนเดินเท้าและคนขี่จักรยาน
ประเทศไทยแม้ว่าจะมีการตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาเมืองต่าง ๆ 100 เมือง ให้เป็นเมืองอัจฉริยะภายในปี 2565 แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผลกระทบจาก โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ส่งผลต่อภาพรวมของการพัฒนาประเทศรวมถึงแนวทางต่างๆจากรัฐบาล แต่ในเมืองสำคัญต่างในแต่ละภูมิภาค เช่น กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ขอนแก่น และภูเก็ต ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องภายใต้องค์ประกอบ 7 อย่าง ทั้งจากภาครัฐและเอกชน เพื่อเพื่อจะกลายเมืองอัจฉริยะอย่างแท้จริงและยั่งยืน
SOURCES: STATISTA, DEPA, HHCTHAILAND, SMARTNATION.GOV.SG, CENTREFORLONDON, EDC.NY